วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559




Assignment 5
กลุ่ม
• Ready Plus •
จัดทำโดย
1. นายฉัตรชัย      ผ่านดอยแดน   รหัสนักศึกษา  58143516
2. นายศตวรรษ    เรือลม             รหัสนักศึกษา  58143523
3. นายศตวรรษ    สามารถ           รหัสนักศึกษา  58143506    
4. นายวิทวัส        จาพา               รหัสนักศึกษา  58143537
5.นาย ยสินทร     อินราช              รหัสนักศึกษา  58143419

เสนออาจารย์
ดร.ภัทราพร พรหมคำตัน

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย รหัสวิชา COM 2702 ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

OSI Model 7 Layer

Layer 1 (Physical Layer)
เป็น ชั้นล่างสุด จะมีการกำหนดคุณสมบัติทางกายภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์ทั้งสองระบบ เช่น
-สายที่ใช้รับส่งข้อมูลจะเป็นแบบไหน
-ข้อต่อที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมีมาตรฐานอย่างไร
-ความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าใด
-สัญญาณที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมีรูปร่างอย่างไร
-ใช้แรงดันไฟฟ้าเท่าไหร่


ข้อมูลใน Layer ที่ 1 นี้จะมองเห็นเป็นการรับส่งข้อมูลทีละบิตเรียงต่อกันไป



จากรูปแสดงถึงการส่งข้อมูลบน Physical layer ครับ แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลจะมาเป็นอย่างไรก็ตาม ก็จะถูกแปลงเป็นสัญญาณเพื่อส่งไปยังปลายทาง แล้วฝั่งปลายทางก็จะนำสัญญาณที่รับมาแปลงกลับเป็นข้อมูลเพื่อส่งให้เครื่อง Client ต่อไป
ที่มา: http://netprime-system.com/osi-model-7-layers/
ที่มารูป: http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/physical-layer-1.jpg



Layer 2 (Data-Link Layer)
เป็นชั้นที่ทำหน้ากำหนดรูปแบบของการส่งข้อมูลข้าม Physical Network โดยใช้ Physical Address อ้างอิงที่อยู่ต้นทางและปลายทาง ซึ่งก็คือ MAC Address นั่นเอง รวมถึงทำการตรวจสอบและจัดการกับ error ในการรับส่งข้อมูล ข้อมูลที่ถูกส่งบน Layer 2 เราจะเรียกว่า Frame
ซึ่งบน Layer 2 ก็จะแบ่งเป็น LAN และ WAN ครับ

ซึ่ง ปัจจุบัน บน Layer 2 LAN เรานิยมใช้เทคโนโลยีแบบ Ethernet มากที่สุด ส่วน WAN ก็จะมีหลายแบบแตกต่างกันไป เช่น Lease Line (HDLC , PPP) , MPLS , 3G และอื่นๆ



ที่มา :  http://netprime-system.com/osi-model-7-layers
ที่มารูป : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/Ether-Frame.jpg




Layer 3 (Network Layer)
ทำหน้าที่ส่งข้อมูลข้ามเครือข่าย หรือ ข้าม network โดยส่งข้อมูลผ่าน Internet Protocol (IP) โดยมีการสร้างที่อยู่ขึ้นมา (Logical Address) เพื่อใช้อ้างอิงเวลาส่งข้อมูล เราเรียกว่า IP address ข้อมูลที่ถูกส่งมาจากต้นทาง เพื่อไปยังปลายทาง ที่ไม่ได้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน จำเป็นจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์ที่ทำงานบน Layer 3 นั่นก็คือ Router หรือ Switch Layer 3 โดยใช้ Routing Protocol (OSPF , EIGRP) เพื่อหาเส้นทางและส่งข้อมูลนั้น (IP) ข้ามเครือข่ายไป






ที่มา : http://netprime-system.com/osi-model-7-layersที่มารูป : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer3-1.jpg

Layer 4 (Transport Layer)

ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ Upper Layer ในการใช้งาน network services ต่างๆ หรือ Application ต่าง จากต้นทางไปยังปลายทาง (end-to-end connection) ในแต่ละ services ได้ โดยใช้ port number ในการส่งข้อมูลของ Layer 4 จะใช้งานผ่าน protocol 2 ตัว คือ TCP และ UDP



ที่มารูป : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer4-1.jpg

เมื่อข้อมูลถูกส่งมาใช้งานผ่าน services Telnet ไปยังปลายทางถูกส่งลงมาที่ Layer 4 ก็จะทำการแยกว่า telnet คือ port number 23 เป็น port number ที่ใช้ติดต่อไปหาปลายทาง แล้วฝั่งต้นทางก็จะ random port number ขึ้นมา เพื่อให้ปลายทางสามารถตอบกลับมาได้เช่นเดียวกัน


ที่มา : http://netprime-system.com/osi-model-7-layers


Layer 5 (Session Layer)

ทำหน้าที่ควบคุมการเชื่อมต่อ session เพื่อติดต่อจากต้นทาง กับ ปลายทาง









ที่มารูป :http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer5-1.jpg


เมื่อฝั่งต้นทางต้องการติดต่อไปยังปลายทางด้วย port 80 (เปิด Internet Explorer) ฝั่งต้นทางก็จะทำการติดต่อไปยังปลายทาง โดยการสร้าง session ขึ้นมา เป็น session ที่ 1 ส่งผ่าน Layer 4 โดย random port ต้นทางขึ้นมาเป็น 1025 ส่งไปหาปลายทางด้วย port 80

ระหว่าง ที่ session ที่ 1 ใช้งานอยู่ เราติดต่อไปยังปลายทางอีกครั้งด้วย port 80 (เปิด Google Chrome) ฝั่งต้นทางก็จะทำการสร้าง session ที่ 2 ขึ้นมา ส่งผ่าน Layer 4 โดย random port ต้นทางขึ้นมาเป็น 1026 ส่งไปหาปลายทางด้วย port 80
ที่มา : http://netprime-system.com/osi-model-7-layers



Layer 6 (Presentation Layer)
ทำหน้าที่ในการแปล หรือ นำเสนอ structure , format , coding ต่างๆของข้อมูลบน application ที่จะส่งจากต้นทางไปยังปลายทาง ให้อยู่ในรูปแบบที่ฝั่งต้นทางและปลายทาง สามารถเข้าใจได้ทั้ง 2 ฝั่ง

Layer 7 (Application Layer)

ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้ (user) กับ application ที่ใช้งานบนเครือข่าย เช่น Web Browser (HTTP) , FTP , Telnet เป็นต้น สรุปแล้วมันก็คือพวก application ที่ใช้งานผ่าน network

โพรโตคอล (Protocol)





Application Layer
เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของขบวนการรับส่งข้อมูล ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคำสั่งต่างๆจากผู้ใช้ส่งให้คอมพิวเตอร์แปลความหมาย
และทำงานตามคำสั่งที่ได้รับในระดับโปรแกรมประยุกต์ เช่นแปลความหมายของการกดปุ่มเมาส์ให้เป็นคำสั่งในการก็อปปี้ไฟล์
หรือดึงข้อมุลมาแสดงผลบนหน้าจอเป็นต้น
ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้ คือ Web Browser,HTTP,FTP,Telnet,WWW,SMTP,SNMP,NFS 




Data Link Layer
รับผิดชอบในการส่งข้อมูลบน network แต่ละประเภทเช่น Ethernet,Token ring,FDDI, หรือบน WAN ต่างๆ ดูแลเรื่องการห่อหุ้มข้อมูล
จาก layer บนเช่น packet ip ไว้ภายใน Frame และส่งจากต้นทางไปยังอุปกรณ์ตัวถัดไป layer นี้จะเข้าใจถึงกลไกและอัลกอริทึ่มรวมทั้ง
format จอง frame ที่ต้องใช้ใน network ประเภทต่างๆเป็นอย่างดี ในnetworkแบบEthernet layer นี้จะมีการระบุหมายเลข address
ของเครื่อง/อุปกรณ์ต้นทางกับเครื่อง/อุปกรณ์ปลาทางด้วย hardware address ที่เรียกว่า MAC Address MAC Address เป็น address
ที่ฝังมากับอุปกรณ์นั้นเลยไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ MAC Address เป็นตัวเลขขนาด 6 byte, 3 byte แรกจะได้รับการจัดสรรโดย
องค์กรกลาง IEEE ให้กับผู้ผลิตแต่ละราย ส่วนตัวเลข 3 byte หลังทางผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดเอง หน่วยของ layer นี้คือ Frame
ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้คือ Ethernet,Token Ring,IEEE 802.3/202.2,Frame Relay,FDDI,HDLC,ATM






Transport Layer
เป็น Layer ที่มีหน้าที่หลักในการแบ่งข้อมูลใน Layer บนให้พอเหมาะกับการจัดส่งไปใน Layer ล่าง ซึ่งการแบ่งข้อมูลนี้เรียกว่า Segmentation
ทำหน้าที่ประกอบรวมข้อมูลต่างๆที่ได้รับมาจาก Layer ล่าง และให้บริการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการ
ส่ง(error recovery) ทำหน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลได้ถูกส่งไปถึงยังเครื่องปลายทางและได้รับข้อมูล ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว หน่วยของข้อมูล
ที่ถูกแบ่งแล้วนี้เรียกว่า Segment
ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้คือ TCP,UDP,SPX


Session Layer
เป็น Layer ที่ควบคุมการสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทางแบบ End to End และคอยควบคุมช่องทางการสื่อสารในกรณีที่มีหลายๆ
โปรเซสต้องการรับส่งข้อมูลพร้อมๆกันบนเครื่องเดียวกัน (ทำงานคล้ายๆเป็นหน้าต่างคอยสลับเปิดให้ข้อมูลเข้าออกตามหมายเลขช่อง(port)ที่กำหนด)
และยังให้อินเตอร์เฟซสำหรับ Application Layer ด้านบนในการควบคุมขั้นตอนการทำงานของ protocol ในระดับ transport/network เช่น socket
ของ unix หรือ windows socket ใน windows ซึ่งได้ให้ Application Programming Interface (API) แก่ผู้พัฒนาซอฟแวร์ในระดับบน
สำหรับการเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการทำงานของ protocol TCP/IP ในระดับล่าง และทำหน้าที่ควบคุม "จังหวะ" ในการรับส่งข้อมูล ของทั้ง 2ด้าน
ให้มีความสอดคล้องกัน (syncronization) และกำหนดวิธีที่ใช้รับส่งข้อมูล เช่นอาจจะเป็นในลักษณะสลับกันส่ง (Half Duplex) หรือรับส่งไปพร้อมกัน
ทั้ง2ด้าน (Full Duplex) ข้อมูลที่รับส่งกันใน Layer5 นี้จะอยู่ในรูปของ dialog หรือประโยคข้อมูลที่สนทนาโต้ตอบกันระหว่างต้านรับและด้านที่ส่งข้อมูล
ไม่ได้มองเป็นคำสั่งอย่างใน Layer6 เช่นเมื่อผู้รับได้รับข้อมูลส่วนแรกจากผู้ส่ง ก็จะตอบกลับไปให้ผู้ส่งรู้ว่าได้รับข้อมูลส่วนแรกเรียบร้อยแล้ว
และพร้อมที่จะรับข้อมูลส่วนต่อไป คล้ายกับเป็นการสนทนาตอบโต้กันระหว่างผู้รับกับผู้ส่งนั่นเอง
ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้ คือ RPC,SQL,Netbios,Windows socket,NFS




Presentation Layer
เป็นชั้นที่ทำหน้าที่ตกลงกับคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่งในชั้นเดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรมประยุกต์จะมีขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร
จุดประสงค์หลักของ Layer นี้คือ กำหนดรูปแบบของการสื่อสาร อย่างเช่น ASCII Text,EBCDIC,Binary และ JPEG
รวมถึงการเข้ารหัส (Encription)ก็รวมอยู่ใน Layer นี้ด้วย ตัวอย่างเช่น โปรแกรม FTP ต้องการรับส่งโอนย้ายไฟล์กับเครื่อง server ปลายทาง
โปรโตคอล FTP จะอนุญาติให้ผู้ใช้ระบุรูปแบบของข้อมูลที่โอนย้ายกันได้ว่าเป็นแบบ ASCII text หรือแบบ binary
ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้ คือ JPEG,ASCII,Binary,EBCDICTIFF,GIF,MPEG,Encription













การทำงาน



HTTP (Hyper Text Transfer Protocol )
     http (HyperText Transfer Protocol: HTTP) คือโพรโทคอลในระดับชั้นโปรแกรมประยุกต์เพื่อการแจกจ่ายและการทำงานร่วมกันกับสารสนเทศของสื่อผสม ใช้สำหรับการรับทรัพยากรที่เชื่อมโยงกับภายนอก ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งเวิลด์ไวด์เว็บ การพัฒนา http เป็นการทำงานร่วมกัน
ความแตกต่างของ http และ https
เว็บไซต์ที่มี https จะเพิ่มความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลให้กับเรามากขึ้นในขณะที่เราทำธุรกรรมออนไลน์ เพราะ https จะช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญที่ส่งออกจากคอมพิวเตอร์ของเราผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์ของหน้า ร้านออนไลน์ ทำให้อาชญากรคอมพิวเตอร์ไม่สามารถนำข้อมูลไปใช้งานได้ แต่สำหรับเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ใช้ http อาชญากรคอมพิวเตอร์จะสามารถขโมยข้อมูลที่ถูกส่ง


จากคอมพิวเตอร์ของเราไปยังเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (เซิร์ฟเวอร์ของหน้าร้านออนไลน์) ได้อย่างง่ายดาย



ที่มา http://www.ninetechno.com/a/website/394-what-is-http.ht

ที่มารูปภาพ https://getgom.com/


HTTPS (Hypertext Transfer Protocol over Secure Socket Layer)
     HTTPS ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol Secure หรือ Hypertext Transfer Protocol Over SSL(Secure Socket Layer) เป็นการทำงานเหมือนกับ HTTP ธรรมดาแต่ทำอยู่บน SSL เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการส่งข้อมูลมากยิ่งขึ้น มีรูปแบบดังนี้
1. การใช้งาน URL จะเข้าต้นด้วย https:// ตามด้วยชื่อของเว็ปไซต์
2. ทำงานที่พอร์ต(port) 443 (มาตรฐาน)
3. ส่งข้อมูลเป็นแบบ Cipher text คือ มีการเข้ารหัสข้อมูลในระหว่างการส่ง(Encryption) สามารถถูกดักจับได้ แต่อ่านข้อมูลนั้นไม่รู้เรื่อง
4. มีการทำ Authentication เพื่อตรวจสอบยืนยันระบุตัวตน



ที่มา http://na5cent.blogspot.com/2012/04/https.html
ที่มารูปภาพ http://na5cent.blogspot.com/2012/04/https.html




POP3 (Post Office Protocol 3)
     POP3 (Post Office Protocol) เป็น Protocol มาตรฐานที่ใช้งานในการคัดลอกข้อมูล E-mail message ทั้งหมดจาก อีเมลเซิร์ฟเวอร์มายังเครื่องที่ทำการเชื่อมต่อโดยจะทำการอัพเดทเฉพาะข้อมูลใหม่ที่พบในอีเมลเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น และเมื่อดึงข้อมูลมาแล้วโปรแกรม Mail Client มักจะลบข้อมูลใน Mailbox server ด้วยดังภาพ





ที่มา https://mail.egat.co.th/owapage/km/mailprotocol.html

ที่มารูปภาพ https://mail.egat.co.th/owapage/km/mailprotocol.html




SMTP (Simple Mail Transfer Protocol)
     SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) เป็น โปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ในการส่ง E-mail Message เท่านั้น ดังนั้นหากตั้งค่าการใช้งานเมลโดยใช้ POP3 หรือ IMAP4 แล้วจึงจำเป็นต้องตั้งค่า SMTP ด้วยเพื่อ ให้โปรแกรม Mail Client สามารถส่งเมลได้ดังภาพ



ที่มา https://mail.egat.co.th/owapage/km/mailprotocol.html
ที่มารูปภาพ https://mail.egat.co.th/owapage/km/mailprotocol.html

FTP (File Transfer Protocol)
     FTP (File Transfer Protocol :FTP) มีหน้าที่หลักๆในการส่งถ่ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งโดยผ่านระบบ Server โดยการใช้งาน FTP นี้เราต้องสร้างช่องทางสื่อสารในระดับ TCP ออกมา 2 ช่องทางก่อนคือ ช่องทางรับและส่งข้อมูล อีกหนึ่งช่องทางคือ ช่องทางในการรับคำสั่งจากผู้ใช้งาน ก่อนที่จะโอนถ่ายข้อมูลนั้นเราจะต้องใส่ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านให้กับ Server ก่อน หลังจากนั้นเราถึงจะเห็นโฟลเดอร์ต่างๆที่ถูกเก็บไว้



ที่มา http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/ftp/
ที่มารูปภาพ http://www.serv-u.com/ftp-server-setup-windows




IP (Internet Protocol)
     ip address คือ เลขรหัสประจำคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่บนเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุดและมีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด ยกตัวอย่างเช่น 192.168.1.1 เป็นต้นหรือนิยมเรียกสั้นๆว่า IP ซึ่งตัวเลข IP แต่ละเครื่องจะไม่ซ้ำกัน ดังนั้น จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า InterNIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทาง InterNIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครื่อง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ
1. Network Address
2. Computer Address




ที่มา http://www.howto108.com/ip-address-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD.html
ที่มารูปภาพ http://www.howto108.com/wp-content/uploads/2011/11/image0031.jpg


TCP/IP (Transfer Control Protocol/Internet Protocol)
     TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol) เป็นชุดของโปรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะผ่านเครือข่ายที่มีปัญหา โปรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางอื่นในการส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางได้



ที่มา http://www.tnetsecurity.com/content_basic/tcp_ip_knowledge.php
ที่มารูปภาพ http://www.billslater.com/internet/


DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol)
     หน้าที่หลักๆของ DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) คือคอยจัดการและแจกจ่ายเลขหมายไอพีให้กับลูกข่ายที่มาเชื่อมต่อกับแม่ข่ายไม่ให้หมายเลขไอพีของลูกข่ายมีการซ้ำกันอย่างเด็ดขาด อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งได้ทำการเชื่อมต่อกับ DHCP Server เครื่องเซฟเวอร์ก็จะให้ หมายเลขไอพีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาทำการต่อเชื่อมแบบอัตโนมัติ ซึ่งไม่ว่าจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากเท่าไร DHCP Server ก็จะออกเลยหมายไอพีให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่ซ้ำกันทำให้เครือข่ายนั้นไม่เกิดปัญหาในการใช้งาน




ที่มารูปภาพ http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/dhcp/





IMAP (Internet Message Access Protocol)
     IMAP4 (Internet Message Access Protocol) เป็น Protocol มาตรฐานที่ใช้ในการทำงานโดยการตรวจสอบข้อมูลระหว่างอีเมลเซิร์ฟเวอร์กับเครื่องที่ทำการเชื่อมต่อแล้วทำข้อมูลให้ตรงกัน (Sync) ดังนั้นหากทำการดึงข้อมูลโดยใช้ Protocol ลักษณะนี้จะทำให้ ข้อมูล E-mail message ที่มีในเครื่อง ตรงกับข้อมูล E-mail Message ที่อยู่ใน E-mail Server ดังภาพ



ที่มา https://mail.egat.co.th/owapage/km/mailprotocol.html
ที่มารูปภาพ https://mail.egat.co.th/owapage/km/mailprotocol.html


ARP (Address Resolution Protocol)     ARP หรือ Address Resolution Protocol เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสาร ทำหน้าที่จับคู่ระหว่าง IP Address ทาง Logical และ Address ทาง Physical (จับคู่ IP Address และ MAC Address)
การทำงานของ ARP
    ขั้นตอนแรกเครื่องที่ต้องการสอบถาม MAC Address ก็จะส่ง ARP Request ซึ่งบรรจุ IP , MAC Address ของตนเอง และ IP Address ของเครื่องที่ต้องการทราบ MAC Address ส่วน MAC Addressปลายทางนั้น จะถูกกำหนดเป็น FF:FF:FF:FF:FF:FF ซึ่งเป็น Broadcast Address เพื่อให้ ARP packet ถูกส่งไปยังเครื่องทุกเครื่องที่อยู่ในเน็ตเวิร์คเดียวกัน


ขั้นตอนที่ 2 เมื่อ เครื่องที่มี IP Address ตรงกับระบุใน ARP Packet จะตอบกลับมาด้วย ARP Packet โดยใส่ MAC Address และ IP Address ของตนเองเป็นผู้ส่ง และใส่ MAC Address และ IP Address ของเครื่องที่ส่งมาเป็นผู้รับ packet ที่ตอบกลับนี้เรียกว่า ARP Reply




ที่มา http://cht-jomz.blogspot.com/2015/07/arp.html
ที่มารูปภาพ http://cht-jomz.blogspot.com/2015/07/arp.html

RARP (Reverse Address Resolution Protocol)
     โปรโตคอล RARP จะมีการทำงานที่คล้ายคลึงกับโปรโตคอล ARP โดยจะทำงานในลักษณะตรงกันข้าม ด้วยการแปลงหมายเลขแมคแอดเดรสให้เป็นหมายเลขไอพี ซึ่งโปรโตคอล RARP นี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่ปราศจากดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์ (Diskless Computer) ดังนั้นเวลาบูตเครื่องจึงจำเป็นต้องบูตจากระบบปฏิบัติการเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่าย โดยเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่ายจะจัดเก็บตารางความสัมพันธ์ระหว่างแมคแอดเดรสกับหมายเลขไอพี โฮสต์ที่ต้องการหมายเลขไอพีจะทำการบรอดแคสต์ RARP Query Packet ที่บรรจุฟิสิคัลแอดเดรสไปยังทุกๆ โฮสต์บนเครือข่าย จากนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่ายก็จะจัดการกับ RARP Packet ด้วยการตอบกลับไปด้วยหมายเลขไอพีไปยังโฮสต์นั้น



ที่มา http://pramnaja.blogspot.com/2007/12/blog-post_06.html
ที่มา http://www.tcpipguide.com/free/t_ReverseAddressResolutionandtheTCPIPReverseAddressR-3.htm

ICMP (Internet Control Message Protocol)      รูปแบบการทำงานของโปรโตคอล ICMP จะทำควบคู่กับโปรโตคอล IP ในระบบเดียวกัน และข้อความต่าง ๆ ที่แจ้งให้ทราบจะถูกรวมอยู่ภายในข้อมูล IP Packet อีกทีหนึ่ง หรือ เป็นผู้รายงานความผิดพลาดในนามของ IP เมื่อโปรโตคอลเกิดความผิดพลาดโดยไม่สามารถกู้คืนได้ Packet ก็จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
1. ยกเลิก Packet แล้วรายงานความผิดพลาดกลับมายังผู้ส่ง ข้อความที่ส่งไปนั้นก็จะถูกทิ้ง
2. การแจ้งหรือแสดงข้อความจากระบบ เพื่อบอกให้ผู้ใช้ ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นในการส่งผ่านข้อมูลนั้น
3. โปรโตคอล ICMP ยังถูกเรียกใช้งานจากเครื่อง Server และ Router อีกด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้ควบคุม
4. เมื่อมีการส่งผ่านข้อมูลจากผู้ใช้ไปยังปลายทางที่ไม่ถูกต้อง หรือขณะนั้นเครื่องปลายทางเกิดปัญหา จนไม่สามารถรับ ข้อมูลได้
5. Router จะส่งข้อความแจ้งเป็น ICMP Message ที่ชื่อ Destination Unreachable ให้กับผู้ส่งข้อมูลนั้น นอกจากนี้ตัวข้อมูลที่แจ้งข้อความ จะมีส่วนของข้อมูล IP Packet ที่เกิดปัญหาด้วย
6. โปรโตคอล ICMP จึงกลายมาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการช่วยทดสอบเครือข่าย เช่น คำสั่ง Ping ที่เรามักใช้ทดสอบว่าเครื่อง Server ที่ให้บริการหรืออุปกรณ์ที่ต่ออยู่ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นยังทำงานเป็นปกติหรือไม่



ที่มา https://sites.google.com/site/icmp03/structure-icmp/hlak-kar-thangan
ที่มารูปภาพ https://sites.google.com/site/icmp03/structure-icmp/hlak-kar-thangan


NNP (Network News Transfer Protocol )

     Protocol NNP หรือ Network News Transfer Protocol คือโปรโตคอลในการโอนย้ายข่าวสารระหว่างกัน



ที่มา http://piyarat-if.blogspot.com/




NetBEUI (NetBIOS Extended User Interface)


     เป็นโปรโตคอลที่เหมาะสำหรับระบบเครือข่ายขนาดเล็ก เนื่องจากโปรโตคอลนี้ใช้วิธีกระจายสัญญาณไปทั่วเครือข่าย ไม่สามารถหาเส้นทางไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ร้องขอข้อมูลได้ ข้อดีของโปรโตคอลนี้ คือ การติดตั้งซอฟต์แวร์เครือข่ายง่าย ไม่ยุงยากซับซ้อน



ที่มา http://www.chaiwbi.com/anet01/p02/t02d.html
ที่มารูปภาพ https://panam.gateway.com/s/tutorials/Tu_848490.shtml

IPX/SPX (Internet Packet Exchange/Sequenced Packet Exchange)
    เป็นโปรโตคอลที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในระบบเครือข่ายของ Netware โปรโตคอลนี้มีความสามารถในการหาเส้นทางได้ เหมาะกับระบบเครือข่ายขนาดกลางและเล็ก ไม่เหมาะกับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เพราะไม่สามารถใช้อุปกรณ์และระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันได้

ที่มา http://www.chaiwbi.com/anet01/p02/t02d.html


UDP (User Datagram Protocol)

     UDP หรือ User Datagram Protocol เป็นวิธีการสื่อสารหรือโปรโตคอลที่จำกัดจำนวนการบริการ เมื่อข่าวสารมีการแลกเปลี่ยน ระหว่างคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ใช้ Internet Protocol (IP) โดยใช้ร่วมกับ IP บางครั้งเรียกว่า UDP/IP ซึ่ง UDP เหมือนกับ TCP ในการใช้ IP ในการดึงหน่วยข้อมูล (เรียกว่า datagram) จากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง แต่ต่างจาก TCP โดย UDP ไม่ให้การบริการสำหรับการแบ่งข่าวสารเป็นแพ็คเกต (datagram) และประกอบขึ้นใหม่เมื่อถึงปลายหนึ่ง UDP ไม่ให้ชุดของแพ็คเกตที่ข้อมูลมาถึง หมายความว่า โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ UDP ต้องมีความสามารถในการสร้างมั่นใจว่าข่าวสารที่มาถึงอยู่ในลำดับที่ถูกต้อง การประยุกต์เครือข่ายที่ต้องการประหยัดเวลาในการประมวลผล เพราะมีหน่วยข้อมูลในการแลกเปลี่ยน (ดังนั้น จึงมีข่าวสารน้อยมากในการประกอบขึ้นใหม่) จะชอบ UDP มากกว่า TCP เช่น Trivial File Transfer Protocol (TFTP) ใช้ UDP แทนที่ TCP เนื่องจากรวดเร็วกว่า UDP เหมือนกัน TCP คือ อยู่ใน Layer ที่ 4 (Transport Layer) ของ OSI


ที่มา http://jodoi.org/protocol.html
ที่มารูปภาพ http://slideplayer.com/slide/6411295/


PPP (Point-to-Point Protocol)      PPP หรือ Point-to-Point Protocol เป็น Protocol สำหรับการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 ตัว หรือ Router 2 ตัว ด้วยการอินเตอร์เฟซแบบอนุกรม ตามปกติ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เชื่อม ด้วยสายโทรศัพท์ไปที่เครื่อง Server ของผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตให้ผู้ใช้ต่อเชื่อมด้วย PPP ทำให้เครื่อง Server สามารถตอบสนองคำขอของผู้ใช้ได้ PPP ยังแบ่งเป็นหลายแบบตามสื่อที่ใช้งาน PPP PAP และ PPP CHAP สำหรับการเชื่อมต่อผ่าน Serial port หรือ PPPoE และ PPPoA สำหรับการเชื่อต่อผ่านสายโทรศัพท์ของระบบ ADSL ซึ่งจะต้องมีการกำหนด Username และ Password ในการเชื่อต่อเสมอ PPP อยู่ใน Layer ที่ 2 (Data-link Layer) ของ OSI



ที่มา http://jodoi.org/protocol.html

ที่มารูปภาพ https://utem-wan.wikispaces.com/Point-to-Point+Protocol+(PPP)