Layer 1 (Physical Layer)
เป็น ชั้นล่างสุด
จะมีการกำหนดคุณสมบัติทางกายภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่าง
คอมพิวเตอร์ทั้งสองระบบ เช่น
-สายที่ใช้รับส่งข้อมูลจะเป็นแบบไหน
-ข้อต่อที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมีมาตรฐานอย่างไร
-ความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าใด
-สัญญาณที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมีรูปร่างอย่างไร
-ใช้แรงดันไฟฟ้าเท่าไหร่
ข้อมูลใน Layer ที่ 1 นี้จะมองเห็นเป็นการรับส่งข้อมูลทีละบิตเรียงต่อกันไป
จากรูปแสดงถึงการส่งข้อมูลบน Physical layer ครับ แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลจะมาเป็นอย่างไรก็ตาม ก็จะถูกแปลงเป็นสัญญาณเพื่อส่งไปยังปลายทาง แล้วฝั่งปลายทางก็จะนำสัญญาณที่รับมาแปลงกลับเป็นข้อมูลเพื่อส่งให้เครื่อง Client ต่อไป
ที่มา: http://netprime-system.com/osi-model-7-layers/
ที่มารูป: http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/physical-layer-1.jpg
Layer 2 (Data-Link Layer)
เป็นชั้นที่ทำหน้ากำหนดรูปแบบของการส่งข้อมูลข้าม Physical
Network โดยใช้ Physical Address อ้างอิงที่อยู่ต้นทางและปลายทาง ซึ่งก็คือ MAC
Address นั่นเอง รวมถึงทำการตรวจสอบและจัดการกับ error ในการรับส่งข้อมูล
ข้อมูลที่ถูกส่งบน Layer 2 เราจะเรียกว่า Frame
ซึ่งบน Layer 2 ก็จะแบ่งเป็น LAN และ WAN
ครับ
ซึ่ง ปัจจุบัน บน Layer 2 LAN เรานิยมใช้เทคโนโลยีแบบ Ethernet มากที่สุด
ส่วน WAN ก็จะมีหลายแบบแตกต่างกันไป เช่น Lease Line (HDLC , PPP) ,
MPLS , 3G และอื่นๆ
ที่มา : http://netprime-system.com/osi-model-7-layers
ที่มารูป : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/Ether-Frame.jpg
Layer 3 (Network Layer)
ทำหน้าที่ส่งข้อมูลข้ามเครือข่าย หรือ ข้าม network โดยส่งข้อมูลผ่าน
Internet Protocol (IP) โดยมีการสร้างที่อยู่ขึ้นมา (Logical Address) เพื่อใช้อ้างอิงเวลาส่งข้อมูล
เราเรียกว่า IP address ข้อมูลที่ถูกส่งมาจากต้นทาง เพื่อไปยังปลายทาง
ที่ไม่ได้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน จำเป็นจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์ที่ทำงานบน Layer
3 นั่นก็คือ
Router หรือ Switch Layer 3 โดยใช้ Routing Protocol (OSPF , EIGRP) เพื่อหาเส้นทางและส่งข้อมูลนั้น
(IP) ข้ามเครือข่ายไป
ที่มา : http://netprime-system.com/osi-model-7-layersที่มารูป : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer3-1.jpg
Layer 4 (Transport Layer)
ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ Upper Layer ในการใช้งาน network
services ต่างๆ หรือ Application ต่าง จากต้นทางไปยังปลายทาง (end-to-end
connection) ในแต่ละ services ได้ โดยใช้ port number ในการส่งข้อมูลของ
Layer 4 จะใช้งานผ่าน protocol 2 ตัว คือ TCP และ UDP
ที่มารูป : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer4-1.jpg
เมื่อข้อมูลถูกส่งมาใช้งานผ่าน services Telnet ไปยังปลายทางถูกส่งลงมาที่
Layer 4 ก็จะทำการแยกว่า telnet คือ port number 23 เป็น port
number ที่ใช้ติดต่อไปหาปลายทาง แล้วฝั่งต้นทางก็จะ random port
number ขึ้นมา เพื่อให้ปลายทางสามารถตอบกลับมาได้เช่นเดียวกัน
Layer 5 (Session Layer)
ทำหน้าที่ควบคุมการเชื่อมต่อ session เพื่อติดต่อจากต้นทาง
กับ ปลายทาง
ที่มารูป :http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer5-1.jpg
เมื่อฝั่งต้นทางต้องการติดต่อไปยังปลายทางด้วย port 80 (เปิด Internet Explorer) ฝั่งต้นทางก็จะทำการติดต่อไปยังปลายทาง โดยการสร้าง session ขึ้นมา เป็น session ที่ 1 ส่งผ่าน Layer 4 โดย random port ต้นทางขึ้นมาเป็น 1025 ส่งไปหาปลายทางด้วย port 80
ระหว่าง ที่ session ที่ 1 ใช้งานอยู่ เราติดต่อไปยังปลายทางอีกครั้งด้วย port
80 (เปิด
Google Chrome) ฝั่งต้นทางก็จะทำการสร้าง session ที่ 2 ขึ้นมา
ส่งผ่าน Layer 4 โดย random port ต้นทางขึ้นมาเป็น 1026 ส่งไปหาปลายทางด้วย
port 80
ที่มา : http://netprime-system.com/osi-model-7-layers
Layer 6 (Presentation Layer)
ทำหน้าที่ในการแปล หรือ นำเสนอ structure , format , coding ต่างๆของข้อมูลบน
application ที่จะส่งจากต้นทางไปยังปลายทาง
ให้อยู่ในรูปแบบที่ฝั่งต้นทางและปลายทาง สามารถเข้าใจได้ทั้ง 2 ฝั่ง
Layer 7 (Application Layer)
ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้ (user) กับ application
ที่ใช้งานบนเครือข่าย
เช่น Web Browser (HTTP) , FTP , Telnet เป็นต้น สรุปแล้วมันก็คือพวก application ที่ใช้งานผ่าน
network
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น